เมื่อเมืองไทยเข้าหน้าฝนทีไร นอกจากจะพาน้ำท่วมมาแล้ว ยังพาโรคยอดฮิตอย่าง “น้ำกัดเท้า” มาด้วย ซึ่งถ้าถามว่าฮิตแค่ไหน ก็ต้องบอกว่านัมเบอร์ 1 เพราะข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขตอนปี 2556 เคยแจ้งไว้ว่าในบรรดาผู้ป่วยสะสมจากภาวะน้ำท่วม 68,919 ราย มีปัญหาที่พบมากเป็นอันดับ 1 คือ น้ำกัดเท้า สาเหตุมาจากการที่หลายคนจำเป็นต้องเดินลุยน้ำสกปรกอย่างเลี่ยงไม่ได้
เชื้อราและน้ำกัดเท้า
น้ำกัดเท้าหรือที่เรียกกันติดปากว่าฮ่องกงฟุต เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราสายพันธุ์ Dermatophytes (เชื้อเดียวกับโรคกลากเกลื้อน) สามารถเติบโตได้ดีในที่อับชื้นและมีองค์ประกอบเป็นเคราติน อย่างผิวหนัง เล็บ ผม และเส้นขน จึงเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมคนที่ลุยน้ำท่วมบ่อย ๆ ไม่ทำความสะอาดเท้าและรองเท้าให้ดี เป็นโรคนี้กันเยอะมาก
ประเมินอาการก่อนใช้ยาทาเชื้อราในร่มผ้า
การที่นิยมเรียกรวม ๆ ว่าน้ำกัดเท้า เลยทำให้มีคนเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อยว่าน้ำกัดเท้าเท่ากับติดเชื้อราทุกกรณี แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะมันแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ยังไม่มีการติดเชื้อรา
เป็นน้ำกัดเท้าแบบเบสิกที่มีเพียงอาการระคายเคืองหลังจากการต้องเจอน้ำและสิ่งสกปรกเท่านั้น เช่น คันตามงามนิ่วและฝ่าเท้า เท้าเปื่อย มีรอยแดง เป็นต้น ซึ่งเป็นอาการที่หายเองได้ไม่ยาก แค่อย่าเอาเท้าไปแช่น้ำท่วมอีก และทำความสะอาดทั้งฝ่าเท้า รองเท้าให้สะอาด และไม่เปียกชื้นอยู่เสมอ
ระยะของการติดเชื้อรา
ระยะนี้จะหนักกว่าระยะแรกอย่างเห็นได้ชัด เพราะจะเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อน มีกลิ่นเท้า มีตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง ผิวเป็นขุย ผิวลอกออกมาเป็นแผ่น และอาการคันจะรุนแรงขึ้น จนบางคนเกาจนเป็นแผลอักเสบหรือเป็นหนองไปเลยก็มี ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องด้วยยาทาเชื้อราในร่มผ้า
ใช้ยาทาเชื้อราในร่มผ้าแบบไหนดี
ปัจจุบันมียาทาเชื้อราในร่มผ้าอยู่หลากหลาย แต่หนึ่งในตัวที่ได้รับความนิยมเสมอ เพราะหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงคือ โคไตรมาโซล (Clotrimazole) ถ้าไม่รู้จักว่าตัวยานี้มีหน้าตาหรือสรรพคุณเป็นอย่างไร ให้นึกถึงซีม่าครีมเอาไว้ เพราะนั่นเป็นโคไตรมาโซล 1% โดยจะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อราบนผิวหนังโดยตรง จึงเหมาะกับการรักษาโรคน้ำกัดเท้าที่สุด
ยาทาเชื้อราในร่มผ้าใช้ยังไงให้ได้ผล
ข้อแนะนำในการใช้ยาทาเชื้อราในร่มผ้าก็เหมือนกับการใช้ยาปฏิชีวนะประเภทอื่น ๆ คือ
- ก่อนทายาควรทำความสะอาดบริเวณที่จะทายาให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
- ควรทายาบาง ๆ ให้ทั่วรอยโรค และทากว้างออกไปอีกประมาณ 2 เซนติเมตร
- ไม่ควรทาตรงรอยถลอกหรือรอยเปิดของผิวหนัง เพราะอาจทำยาให้เข้าสู่กระแสเลือดและเสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์
- ต้องทายาอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ยังควรต้องทาต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ห้ามหยุดยาเองกะทันหัน เพื่อกำจัดเชื้อราให้หมด ลดการกลับมาเป็นซ้ำ และป้องกันอาการดื้อยาในอนาคต
- ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาควบคู่ยาทาฆ่าเชื้ออื่นที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น แอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวแห้งและคันมากขึ้น
- หลังจากทายาเสร็จแล้ว อาจวางผ้าก๊อสหรือสำลีระหว่างนิ้วเท้าเพื่อลดความอับชื้นในซอกนิ้วก็จะช่วยให้การรักษาดียิ่งขึ้น
“ยาทาเชื้อราในร่มผ้า” ถือได้ว่าเป็นทางออกที่ดีของโรคของน้ำกัดเท้า แต่การจะรักษาให้หายดีได้ในเร็ววันนั้น ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วม เอาถุงสวมรองเท้าให้มิดชิดหากจำเป็นต้องลุยน้ำท่วม แยกของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น เป็นต้น